เจาะลึก 7 สาเหตุ ที่ทำให้เครื่องทรีทเม้นท์ เสียหาย

เจาะลึก 7 สาเหตุที่ทำให้ เครื่องทรีทเม้นท์ เสียหาย

เรียนรู้ 7 สาเหตุหลักที่ทำให้ เครื่องทรีทเม้นท์ ด้านความงามเสียหาย พร้อมวิธีป้องกันเพื่อยืดอายุการใช้งานและรักษาประสิทธิภาพของเครื่องในระยะยาว ข้อมูลส่งตรงจากจาก InnoService Center!

Table of Contents

เครื่องทรีทเม้นท์ ในวงการแพทย์ความงาม เป็นอุปกรณ์ที่มีความซับซ้อน และมีราคาสูง การเข้าใจสาเหตุของความเสียหายจะช่วยให้คลินิก และสถานเสริมความงามสามารถป้องกัน และรักษาอุปกรณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือการวิเคราะห์ 7 สาเหตุหลักที่ทำให้เครื่อง ทรีทเม้นท์เกิดความเสียหาย

สัญญาณเตือน เครื่องทรีทเม้นท์ ที่ไม่ควรมองข้าม

เครื่องทรีทเม้นท์ ที่เกิดความเสียหาย จะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน และความปลอดภัยของผู้ใช้งาน ปัญหาที่พบบ่อยๆ ได้แก่ การทำงานที่ไม่สม่ำเสมอ โดยเครื่องอาจจ่ายพลังงานไม่คงที่หรือหยุดทำงานกะทันหันระหว่างการรักษา รวมถึงปัญหาของหัวทรีทเม้นท์ที่ร้อนเกินไป หรือไม่สามารถปรับระดับพลังงานได้ตามต้องการ

ปัญหาเหล่านี้อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลลัพธ์การรักษาและความพึงพอใจของลูกค้า ดังนั้น การสังเกตและตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรักษามาตรฐานการให้บริการ และความปลอดภัยของผู้รับบริการ หากท่านใดต้องการทราบถึงปัญหาโดยละเอียด สามารถเข้าไปอ่านได้ที่ >> 4 ปัญหาที่ต้องรู้ หากเครื่องทรีทเม้นท์ ขัดข้อง

สาเหตุที่ทำให้ เครื่องทรีทเม้นท์ เสียหาย

1. การใช้งานที่ไม่ถูกต้อง

  • การตั้งค่าพลังงานผิดพลาด : การตั้งค่าพลังงานที่สูงเกินไป อาจทำให้เกิดความร้อนสูงเกินกว่าที่เครื่องรองรับ ส่งผลให้อุปกรณ์ภายในเสียหาย เช่น การตั้งค่าพลังงานเลเซอร์สูงเกินไปอาจทำให้หลอดเลเซอร์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น หรือการตั้งค่าความเข้มข้นของคลื่นอัลตร้าซาวด์สูงเกินไปอาจทำให้หัวอัลตร้าซาวด์เสียหาย
  • การไม่ใช้เจลนำสัญญาณหรือใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม : สำหรับเครื่องที่ต้องใช้เจลนำสัญญาณ เช่น อัลตร้าซาวด์หรือ RF การไม่ใช้เจลหรือใช้น้อยเกินไปอาจทำให้หัว Treatment ร้อนเกินไปและเสียหายได้ ในทางกลับกัน การใช้เจลมากเกินไปอาจทำให้เจลซึมเข้าไปในเครื่องและทำให้วงจรไฟฟ้าเสียหาย
  • ไม่ทำความสะอาดหัวทรีทเม้นท์หลังใช้งาน : การละเลยการทำความสะอาดหัว Treatment หลังใช้งานทุกครั้งอาจนำไปสู่ปัญหาต่างๆ เช่น ทำให้ประสิทธิภาพการส่งผ่านแสงลดลง และอาจทำให้เลนส์เสียหายจากความร้อนสะสม เป็นต้น

2. การขาดการบำรุงรักษา

  • ไม่เปลี่ยนอะไหล่ตามระยะเวลา : อะไหล่แต่ละชิ้นมีอายุการใช้งานที่จำกัด การไม่เปลี่ยนตามกำหนดอาจส่งผลเสียดังนี้
    • หลอด IPL : เมื่อใช้งานเกินอายุ จะทำให้พลังงานแสงไม่สม่ำเสมอ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการรักษาและอาจทำให้ระบบควบคุมพลังงานเสียหาย
    • หัว RF : การใช้งานเกินกำหนดอาจทำให้การส่งผ่านคลื่นไม่สม่ำเสมอ เสี่ยงต่อการเกิดจุดร้อนที่ผิวผู้รับบริการ และอาจทำให้ระบบควบคุมพลังงานเสียหาย
    • ฟิลเตอร์อากาศ : การไม่เปลี่ยนตามกำหนดทำให้การระบายอากาศไม่ดี เครื่องอาจร้อนเกินไปจนชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เสียหายได้
  • ละเลยการตรวจสอบและ Calibrate เครื่อง : การไม่ตรวจสอบ และปรับแต่งเครื่องตามระยะเวลาที่กำหนดอาจก่อให้เกิดปัญหาดังนี้
    • ความแม่นยำในการจ่ายพลังงานลดลง : อาจทำให้ผลการรักษาไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง หรือเกิดอันตรายต่อผู้รับบริการได้
    • ระบบความปลอดภัยทำงานผิดพลาด : เช่น เซนเซอร์วัดอุณหภูมิผิวอาจทำงานผิดพลาด ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดแผลไหม้ที่ผิวผู้รับบริการ
    • ระบบควบคุมการทำงานผิดพลาด : อาจทำให้เครื่องหยุดทำงานกะทันหันหรือทำงานไม่สม่ำเสมอ
  • ไม่ทำการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน : การละเลยการบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามที่ผู้ผลิตแนะนำอาจนำไปสู่ปัญหาต่างๆ เช่น
    • ระบบหล่อเย็น : การไม่ตรวจสอบและเติมน้ำกลั่น อาจทำให้ระบบระบายความร้อนล้มเหลว ส่งผลให้ชิ้นส่วนสำคัญเสียหายจากความร้อนสูง
    • ระบบไฟฟ้า : การไม่ตรวจสอบการเชื่อมต่อทางไฟฟ้าอาจทำให้เกิดการหลวม นำไปสู่การลัดวงจรหรือการทำงานที่ไม่เสถียร
    • ซอฟต์แวร์ : การไม่อัปเดตซอฟต์แวร์ตามที่ผู้ผลิตแนะนำอาจทำให้เครื่องมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยหรือประสิทธิภาพการทำงานลดลง

3. สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม

  • อุณหภูมิห้องสูงเกินไป : เครื่อง Treatment มักมีระบบระบายความร้อนภายใน เมื่ออุณหภูมิห้องสูง ระบบนี้ต้องทำงานหนักขึ้น อาจทำให้พัดลมระบายอากาศเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
  • ความชื้นสูง : ความชื้นสูงเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดสนิมและการกัดกร่อนของชิ้นส่วนโลหะ โดยเฉพาะในส่วนของขั้วต่อไฟฟ้าและแผงวงจร และอาจทำให้ฉนวนไฟฟ้าเสื่อมสภาพเร็วขึ้น เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดไฟฟ้ารั่วหรือลัดวงจร
  • ฝุ่นละอองมาก : ฝุ่นสามารถสะสมในช่องระบายอากาศและฟิลเตอร์ ทำให้ประสิทธิภาพการระบายความร้อนลดลง เสี่ยงต่อการเกิดความร้อนสูงเกินในเครื่อง

4. คุณภาพของวัสดุที่ใช้ 

  • เจลนำสัญญาณคุณภาพต่ำ :  เจลคุณภาพต่ำอาจนำไฟฟ้าหรือคลื่นไม่สม่ำเสมอ ทำให้การรักษาไม่มีประสิทธิภาพและอาจทำให้เกิดจุดร้อนบนผิวหนัง รวมถึงเจลที่มีส่วนผสมไม่เหมาะสมอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ในผู้รับบริการ
  • น้ำยาทำความสะอาดไม่เหมาะสม : น้ำยาที่มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงอาจทำลายผิวของหัวทรีทเม้นท์ หรือส่วนประกอบอื่นๆ ของเครื่อง น้ำยาที่ตกค้างอาจสะสมบนหัวทรีทเม้นท์ ทำให้ประสิทธิภาพการส่งพลังงานลดลง
  • การใช้อะไหล่ไม่ได้มาตรฐาน : อะไหล่คุณภาพต่ำอาจให้พลังงานแสงไม่สม่ำเสมอ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการรักษาและอาจทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหนัง รวมถึง แผ่นกรองคุณภาพต่ำอาจไม่สามารถกรองความยาวคลื่นที่ไม่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสี่ยงต่อการเกิดแผลไหม้หรือรอยดำบนผิวหนัง

5. ปัญหาทางไฟฟ้า

  • ไฟกระชาก (Power Surge) : ไฟกระชากอาจทำให้แหล่งจ่ายไฟภายในเครื่องเสียหาย ส่งผลให้เครื่องไม่สามารถทำงานได้หรือจ่ายไฟไม่สม่ำเสมอ และอาจทำให้ไมโครคอนโทรลเลอร์หรือชิพควบคุมอื่นๆ เสียหาย ส่งผลให้เครื่องทำงานผิดปกติหรือไม่สามารถควบคุมได้ รวมถึงหน้าจอ LCD หรือระบบสัมผัสเสียหาย ทำให้ไม่สามารถควบคุมเครื่องได้
  • ไฟตก (Voltage Sag) : ไฟตกอาจทำให้เครื่องทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ เครื่องอาจปิดตัวเองและเริ่มทำงานใหม่บ่อยครั้ง ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบปฏิบัติการหรือฮาร์ดแวร์
  • การลัดวงจร (Short Circuit) : การลัดวงจรอาจทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อวงจรไฟฟ้าทั้งหมดของเครื่อง อาจต้องเปลี่ยนแผงวงจรทั้งชุด การลัดวงจรอาจทำให้เกิดความร้อนสูงและประกายไฟ ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดไฟไหม้ได้
  • ไฟฟ้ารั่ว (Electric Leakage) : ไฟฟ้ารั่วอาจทำให้เกิดการช็อตหรือบาดเจ็บได้ โดยเฉพาะในเครื่องที่ต้องสัมผัสกับผิวหนังโดยตรง และอาการไฟฟ้ารั่วอาจทำให้ชิ้นส่วนภายในเสื่อมสภาพเร็วขึ้น โดยเฉพาะส่วนที่เป็นฉนวน

6. การจัดเก็บ

  • การจัดวางซ้อนทับ : การวางซ้อนเครื่องหรือวางของหนักทับบนเครื่องอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างหรือชิ้นส่วนภายใน และการจัดวางที่ไม่สมดุลอาจทำให้โครงสร้างของเครื่องบิดเบี้ยว ส่งผลต่อการทำงานของชิ้นส่วนภายใน

7. การสึกหรอตามอายุการใช้งาน

  • ชิ้นส่วนที่สัมผัสกับความร้อนสูง : การสึกหรอของหัวทรีทเม้นท์ อาจทำให้ประสิทธิภาพการส่งพลังงานลดลง ใบพัดระบายความร้อนอาจเสื่อมสภาพหรือผุกร่อน ทำให้ประสิทธิภาพการระบายความร้อนลดลง เสี่ยงต่อการเกิดความร้อนสูงเกินในเครื่อง และข้อต่อในระบบหล่อเย็นเสื่อม อาจเกิดการรั่วซึมหรือการอุดตัน
  • ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ : ตัวเก็บประจุ (Capacitors) มักเสื่อมสภาพตามเวลา อาจทำให้วงจรจ่ายไฟไม่เสถียร ส่งผลต่อการทำงานของเครื่องโดยรวม และการใช้งานซ้ำๆ อาจทำให้จุดสัมผัสสึกหรอ ทำให้การควบคุมการทำงานของเครื่องไม่แม่นยำ
  • สายไฟและขั้วต่อ : การเสื่อมสภาพของฉนวน: อาจทำให้เกิดไฟฟ้ารั่วหรือลัดวงจร
เจาะลึก 7 สาเหตุที่ทำให้ เครื่องทรีทเม้นท์ เสียหาย

InnoService Center : บริการซ่อมเครื่องทรีทเม้นท์ครบวงจร

InnoService Center ให้บริการซ่อม และบำรุงรักษาเครื่องทรีทเม้นท์ด้านความงามอย่างครบวงจร ด้วยทีมช่างผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือที่ทันสมัย ศูนย์บริการแห่งนี้มุ่งมั่นที่จะให้บริการที่มีคุณภาพสูงเพื่อให้เครื่องทรีทเม้นท์กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัย บริการของ Innoservice Center ครอบคลุมตั้งแต่การวินิจฉัยปัญหา การซ่อมแซม การเปลี่ยนชิ้นส่วน การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน ไปจนถึงการสอบเทียบและทดสอบประสิทธิภาพ

การเลือกใช้บริการจาก Innoservice Center มีข้อดีคือ ได้รับการดูแลจากช่างผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการฝึกอบรมจากผู้ผลิตโดยตรง การใช้อะไหล่แท้และเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน พร้อมการรับประกันคุณภาพงานซ่อม ทั้งหมดนี้ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าเครื่องทรีทเม้นท์ของคุณจะได้รับการดูแลอย่างมืออาชีพ ช่วยยืดอายุการใช้งาน เพิ่มประสิทธิภาพ และรักษาความปลอดภัยในการใช้งานเครื่องของคุณ

สรุป

เครื่องทรีทเม้นท์ด้านความงามอาจเกิดความเสียหายได้จากหลายสาเหตุหลัก ได้แก่ การใช้งานที่ไม่ถูกต้อง การขาดการบำรุงรักษาที่เหมาะสม สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม (เช่น อุณหภูมิและความชื้นสูง) การใช้วัสดุสิ้นเปลืองที่ไม่ได้มาตรฐาน ปัญหาทางไฟฟ้า การขนส่งและจัดเก็บที่ไม่เหมาะสม และการสึกหรอตามอายุการใช้งาน การเข้าใจและป้องกันสาเหตุเหล่านี้จะช่วยยืดอายุการใช้งานและรักษาประสิทธิภาพของเครื่องได้ในระยะยาว แต่ถ้าเครื่องทรีทเม้นท์มีปัญหาร้ายแรง InnoService แนะนำให้ใช้บริการทีมช่าง ให้เข้ามาตรวจสอบจะดีกว่า ซึ่งการซ่อมเครื่องมือแพทย์นั้น มีความสำคัญเป็นอย่างมาก หากต้องการทราบถึงความสำคัญที่กล่าวมา สามารถเข้าไปอ่านเพิมเติมได้ที่ >> ทำไมการ ซ่อมเครื่องมือแพทย์ ถึงสำคัญกับธุรกิจเสริมความงาม

เรื่องราวที่น่าสนใจเพิ่มเติม